ภาวะไข้ - ชักในเด็กเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย อุบัติการณ์ของภาวะไข้ -ชักมีประมาณ 3–5 % ของประชากรเด็กทั้งหมดที่อยู่ในวัยต่ำกว่า 5 ปีอาการ ชักอย่างไรจึงจะเรียกว่า อาการชัก เนื่องจากไข้สูงหรือไข้ - ชัก
อาการชักที่ไม่ได้เกิดร่วมกับไข้สูง ที่เราเรียกว่า ภาวะไข้-ชัก นั้นควรจะมีลักษณะดังต่อไปนี้ คือ1. อาการไข้ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อของระบบประสาทส่วนกลาง
2. อาการชักที่เกิดขึ้น มีลักษณะเป็นชักทั้งตัวอาจจะเป็นชักเกร็งทั้งตัว หรือชักเกร็งกระตุกทั้งตัวก็ได้ ไม่ควรมีลักษณะชักชนิดอื่น ๆ อาทิ เช่น ชัก เฉพาะชักของร่างกาย หรือชักชนิดผวากระตุกหรือชักชนิดสัปหงก เนื่องจากภาวะไข้ - ชัก
3. เด็กที่มีอาการไข้ – ชัก ควรจะมีช่วงอายุอยู่ในระหว่าง 1 – 3 ปี แต่ทั้งนี้อาจจะพบได้ตั้งแต่ 3 เดือน จนถึง 5 ปี หากเด็กมีอาการชักร่วมกับไข้ในอายุที่น้อยกว่า 1 ปี หรือมีอาการชักร่วมกับไข้ในเด็กที่มีอายุมากกว่า 5 ปี ควรจะปรึกษาแพทย์เพื่อยืนยันผลการวินิจฉัยอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวว่าเด็กรายนั้นมีอาการชัก เนื่องจากภาวะไข้ - ชัก
4. อาการไข้ – ชัก ส่วนใหญ่ไม่ควรมีอาการ ชักนานเนินกว่า 5 นาที แต่บางรายอาจ จะชักได้นานจนถึง 10 นาที ในรายที่มี อาการชักนานเกินกว่า 5 นาที หรือมี อาการชักนานมากควรปรึกษาแพทย์
เด็กที่มีประวัติไข้ – ชัก มีโอกาสเป็นโรคลมชักได้มากน้อยเพียงใ เราสามารถแยกกลุ่มเด็ก ที่มีอาการไข้ – ชัก ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
1. กลุ่มที่มีอาการ ไข้ชักชนิดธรรมดา ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของเด็กที่มีอาการไข้ – ชัก กลุ่มนี้พบว่าโอกาสเป็นโรคลมชักในอนาคตนั้นมีน้อยมาก
2. กลุ่มที่มีอาการ ไข้ – ชัก ชนิดไม่ธรรมดาซึ่งมีลักษณะที่สำคัญทางคลินิกดังนี้
- อาการชักที่เกิดร่วมกับไข้นั้น มีอาการนานเกินกว่า 5 นาทีขึ้นไป
- มีอาการชักซ้ำเกิดขึ้นหลาย ๆ ครั้ง ภายใน 24 ชม. หลังจากมีอาการไข้สูง
- ลักษณะของการชัก เป็นลักษณะเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่ง ของร่างกาย เช่น ชักเฉพาะซีกซ้าย หรือซีกขวาของร่างกายหรือหลังจากหยุดชัก มีอาการอัมพฤกษ์ หรือ อัมพาตครึ่งซีกของร่างกายในกลุ่มที่มี อาการไข้ – ชัก ชนิดไม่ธรรมดานี้ โอกาสของการเป็นโรคลมชักจะสูงกว่าปกติ และอาจจำเป็นต้องรับประทานยาป้องกันหลังจากที่ได้รับคำปรึกษาจากแพทย์เด็กทีมีอาการไข้ – ชัก มีโอกาสเกิดอาการชักซ้ำเมื่อมีไข้สูงได้อีกเป็นเท่าใด
โอกาสเสี่ยงของเด็ก ที่จะมีอาการไข้ – ชัก เป็นซ้ำนั้นมีไม่มาก เด็กที่เคยมีประวัติไข้ – ชักนั้น มีโอกาสเกิดอาการชักซ้ำ เนื่องจากไข้สูง เพียงประมาณร้อยละ 30 โดยที่โอกาสของการเกิด อาการไข้ – ชัก เป็นซ้ำมักจะสูงสุด หลังจากที่มีอาการไข้ชักครั้งแรก อัตราการเสี่ยงดังกล่าว ลดลงไปเรื่อย ๆ ส่วนใหญ่ของอาการไข้ – ชักเป็นซ้ำ มักจะเกิดขึ้น ภายใน 1 ปีแรกแต่ไม่เกิน 2 ปี
หลักจากที่มีอาการไข้ – ชัก ครั้งแรกหากเด็กที่มีประวัติไข้ – ชัก แล้วยังไม่เกิดอาการไข้ – ชักเป็นซ้ำ นานเกินกว่า 2 ปี ขึ้นไป โอกาสเสี่ยงของอาการไข้ – ชักเป็นซ้ำนั้นแทบจะไม่มี
พยากรณ์โรคของเด็กที่มีประวัติไข้ – ชัก
ต่อระดับสติปัญญาเป็นอย่างไร
เด็กที่มีอาการไข้ – ชัก เป็นบ่อย ๆ
มีโอกาสเป็นเด็กปัญญาอ่อนได้หรือไม่
มีการศึกษาวิจัยหลายอัน ซึ่งติดตามเด็กที่เคยมีประวัติไข้ – ชัก ตั้งแต่เด็กจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ทั้งในปรปะเทศสหรัฐอเมริการ สหราชอาณาจักร และประเทศสวีเดน ไม่พบว่าเด็กที่เคยมีประวัติ ไข้ – ชัก จะมีระดับสติปัญญาต่ำกว่าเด็กปกติที่ไม่เคยมีประวัติไข้ - ชัก นอกจากนั้นในเด็กที่เคยมีอาการไข้ – ชัก หลายครั้ง ก็ไม่พบความแตกต่างในแง่ของสติปัญญาของเด็ก เมื่อโตขึ้นเด็กที่มีภาวะไข้ – ชัก มีโอกาสถ่ายทอดทางพันธุกรรมหรือไม่
กรณีของเด็กที่มีประวัติ ไข้ - ชัก โอกาสที่จะมีพี่น้อง มีประวัติไข้ - ชัก เช่นเดียวกันมีมากกว่าประชากรทั่วไป อย่างไรก็ตามดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น โดยละเอียดเกี่ยวกับภาวะไข้ – ชัก ยังคงขอเน้นอีกครั้งหนึ่งว่าภาวะไข้ - ชัก เป็นภาวะซึ่งไม่อันตราย แม้ว่าบุตรคนแรกจะมีประวัติไข้ - ชัก เป็นภาวะซึ่งไม่อันตราย แม้ว่าบุตรคนแรกจะมีประวัติไข้ – ชัก บุตรคนต่อไปโอกาสที่จะมีอาการไข้ – ชัก เช่นเดียวกันจะสูงกว่าประชากรทั่วไปก็ตาม แต่อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ปัญหาไข้ – ชัก ไม่ใช่เป็นปัญหาซึ่งจะมีผลในระยะยาว เด็กกลุ่มนี้มีพยากรณ์โรคที่ดีมากดังนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลว่าบุตรอีกคนหนึ่งจะมีอาการ ไข้ – ชัก เช่นเดียวกัน
การรักษาภาวะไข้ชักควรทำอย่างไร
จากคำถามคำตอบที่กล่าวมาเบื้องต้น จะเห็นได้ว่าอาการไข้ – ชัก มีพยากรณ์โรคที่ดี ส่วนใหญ่ของเด็กที่มีปัญหาไข้ – ชัก มักจะไม่มีอาการชักซ้ำ หรือมีอาการไข้ – ชักซ้ำไม่บ่อยมีเพียงส่วนน้อยนิดของเด็กกลุ่มนี้เท่านั้น ที่มีโอกาสเป็นโรคลมชัก หรือลมบ้าหมู การรักษาที่ถูกต้องคือการพยายามปฐมพยาบาลลดไข้ เมื่อเด็กมีอาการไข้ รวมทั้งปฐมพยาบาลอาการชักถ้าเกิดขึ้น การใช้ยากันชักรับประทานทุกวันหรือการใช้ยาระงับชักกินเฉพาะเวลามีไข้ มักจะมีผลข้างเคียงของยาที่ใช้เสมอรวมทั้งผลข้างของยาที่ใช้นั้นมักจะมีผลเสีย มากกว่าผลร้ายอันจะเกิดจากโอกาสที่เด็กจะเป็นโรคลมชัก หรือผลร้าย จากการที่เด็กมีอาการไข้ – ชักเป็นช้ำ
ควรทำอาย่างไรเมื่อเด็กที่เคยมีประวัติไข้ – ชัก มีอาการไข้
ตามที่ได้กล่าวมาแล้วเด็กกลุ่มนี้ มีโอกาสเกิดอาการชักซ้ำ เมื่อมีไข้สูงอีก ดังนั้นการปฐมพยาบาลดูแลลดไข้ จึงเป็นหัวใจสำคัญในการดูแลรักษาเด็กที่มีประวัติไข้ – ชัก การปฐมพยาบาลลดไข้เด็กควรกระทำโดยหมั่นวัดไข้เด็กทุกครั้ง ที่เด็กแลดูไม่สบาย หากพบว่ามีไข้ควรให้ยาพาราเซตามอลรับประทาน ตามขนาดของเด็กทุก 4 ชั่วโมงร่วมกับเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นลดไข้ การเช็ดตัวลดไข้เด็กนั้นจะได้ผลรวดเร็วกว่าการรับประทานยาพาราเซตามอล ผ้าขนหนูที่ชุบน้ำอุ่นหมาด ๆ และหมั่นเช็ดตัวเด็กอยู่เสมอ จะช่วยลดอุณหภูมิเด็กได้อย่างรวดเร็ว ไม่ควรใช้น้ำเย็นหรือแอลกอฮอล์เช็ดตัวเด็กที่มีไข้ เพราะมีโอกาสทำให้เด็กเกิดอาการหนาวสะท้าน และเกิดไข้สูงขึ้นมาอีกหลังจากการเช็ดตัวด้วยน้ำเย็นหรือแอลกอฮอล์
ควรทำอย่างไรถ้าเด็กมีอาการชัก
การปฐมพยาบาลอาการชัก สามารถที่จะทำได้ด้วยตนเอง พ่อแม่หรือผู้ปกครอง ที่มีเด็กที่เคยประวัติไข้ – ชัก ไม่ควรตกใจจนเกิดเหตุจากเด็กมีอาการชักเกิดขึ้น อันดับแรกที่ควรกระทำ คือ จับเด็กนอนตะแคงแล้วพยายาม ทำให้ทางเดินหายใจให้โล่ง หากเด็กมีอาการชักขณะที่กำลังรับประทานอาหาร หรือมีเศษอาหารอยู่ในช่องปาก ควรล้วงเศษอาหารนั้นออกจากช่องปาก เพื่อป้องกันภาวะอุดตันของทางเดินหายใจ ระหว่างที่มีอาการชัก สำหรับในกรณีอื่นแล้วไม่ควรพยายามทำให้เด็กอาเจียนหรือใช้ช้อน หรือไม้กดลิ้น นิ้ว เศษผ้า ยัดเข้าไปในปากเด็กเพราะมีโอกาสทำให้เกิดภยันตรายต่อช่องปากและฟันเด็กมากยิ่งขึ้น และมีโอกาสที่ฟันจะหลุดหรือหัก และหลุดลงไปอุดหลอดลม และทำให้ปอดแฟบ อันจะทำให้เกิดภาวะขาดออกซิเจนมากยิ่งขึ้น ควรจับเด็กนอนตะแคงในพื้นราบที่นุ่ม ไม่มีของแข็งมากระทบ ที่จะทำให้เกิดอันตรายมากยิ่งขึ้น ต่อตัวเด็กระหว่างที่มีอาการชัก หากได้รับคำแนะนำสอนวิธีการใช้ยาเหน็บทวารหนักระงับชัก อาจจะให้ยาระงับชักเหน็บทวารหนัก ตามที่แพทย์แนะนำได้ การใช้ยากันชักเหน็บทวารเด็กนั้น จะช่วยป้องกันมิให้มีอาการชักที่เกิดขึ้นนานเกินไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น