ภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิดและการรักษาตัวเหลืองคืออะไร ? ภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิด เกิดจากภาวะที่ระดับบิลิรูบินในเลือดสูงมากกว่าปกติ หรือที่เรียกว่า “ดีซ่าน” บิลิรูบินซึ่งมีสีเหลืองนี้จะไปสะสมตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ รวมทั้งผิวหนัง “บิลิรูบิน” เกิดจากการแตกสลายของเม็ดเลือดแดง โดยตับจะเป็นอวัยวะสำคัญในการสร้างบิลิรูบินและขับถ่ายบิลิรูบินในรูปของน้ำดีออกมาในอุจจาระ ดังนั้นภาวะตัวเหลืองนั้นเกิดขึ้นจาก 2 สาเหตุหลักคือ มีการสร้างบิลิรูบินมากหรือการขับถ่ายไม่เพียงพอนั่นเอง สำหรับในทารกแรกเกิดแล้วการทำหน้าที่ของตับยังไม่สมบูรณ์ “ตัวเหลือง” จึงเป็นภาวะที่พบได้บ่อยโดยเฉพาะในช่วงแรก ๆ ของชีวิต
ตัวเหลืองอันตรายหรือไม่ ?ภาวะตัวเหลืองแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
1. เกิดจากภาวะปกติตามหน้าที่สรีระของทารก ไม่ได้มีสาเหตุจากภาวะโรค พบได้เมื่ออายุประมาณ 3 – 5 วัน ระดับบิลิรูบินมักไม่สูงมากถึงขั้นอันตราย และจะลดลงได้ดีเมื่อทารกอายุมากขึ้น ชนิดนี้เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในทารกแรกเกิด 2. เกิดจากภาวะโรค ทำให้การสร้างบิลรูบินมากกว่าปกติและอาจเกิดร่วมกับการขับถ่ายดีลดลงด้วย อาจพบได้เร็วตั้งแต่ภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด ระดับบิลิรูบินมักสูงมากจนเป็นอันตราย ที่สำคัญคือจะเข้าจับในสมองและระบบประสาทส่วนกลาง ทารกจะเริ่มด้วยอาการซึมลง ดูดนมน้อย จนกระทั่งรุนแรงมากจนมีชักเกร็งหรือกระตุกและมีผลต่อให้เกิดภาวะสมองพิการพัฒนาการช้า ปัญญาอ่อน หูหนวกได้
จะสังเกตว่าทารกตัวเหลืองได้อย่างไร ?
1. ในตอนแรกเริ่มที่ระดับบิลิรูบินต่ำ จะเห็นตาขาวและใบหน้าเป็นสีเหลือง
2. เมื่อระดับบิลิรูบินสูงขึ้น จะเห็นเหลืองที่ลำตัวและแขนขา 3. ควรรีบมาพบแพทย์เมื่อ 3.1 สงสัยว่าทารกมีอาหารตัวเหลือง หรือ 3.2 ทารกตัวเหลืองภายใน 24 ชั่วโมง หลังคลอด หรือ 3.3 ทารกตัวเหลืองร่วมกับดูดนมน้อยลงหรือซึมลงนอนหลับมากขึ้นกว่าเดิมจนดูผิดปกติ
รักษาได้อย่างไร ?
1. เมื่อมีตัวเหลืองแพทย์จะต้องวินิจฉัยว่าเป็นตัวเหลืองชนิดใด และส่งตรวจเลือดเพื่อวัดระดับบิลิรูบินและหาสาเหตุถ้าสงสัยว่าเกิดจากภาวะโรคหรือไม่ 2. การรักษามี 2 วิธีคือ การส่องไฟฉายแสง และการถ่ายเปลี่ยนเลือด
การส่องไฟฉายแสง คืออะไรมีอันตรายหรือไม่ ?การส่องไฟฉายแสง (phototherapy) หลักการคือ การส่องให้แสงอาบโดนผิวหนัง แสงจะทำปฏิกิริยาเปลี่ยนบิลิรูบินที่จับที่ผิวหนังให้กลายไปเป็นชนิดที่ละลายน้ำได้และขับออกจากร่างกายทางน้ำดีและทางปัสสาวะ แสงชนิดที่บิลิรูบินดูดจับได้ดีที่สุดจะเป็นกลุ่มแสงที่มีความยาวคลื่นอยู่ในช่วงสีน้ำเงินผลแทรกซ้อนของการส่องไฟฉายแสง มีได้บ้างแต่มักไม่มีอันตรายรุนแรง เช่น ผื่น ถ่ายเหลว ภาวะขาดน้ำ มีไข้ แต่ภาวะเหล่านี้สามารถป้องกันหรือรักษาได้เราควรปฏิบัติอย่างไรเพื่อให้การส่องไฟฉายแสงมีประสิทธิภาพ 1. ถอดเสื้อผ้าทารกเพื่อให้ผิวหนังมีพื้นที่รับแสงมากที่สุด 2. พลิกตัวทุก 2 – 4 ชั่วโมง 3. ให้ทารกกินนมให้มากที่สุดตามต้องการอาจจะมากได้ถึง 10 – 12 มื้อต่อวัน เพราะจะทำให้ทารกได้สารอาหารและน้ำพอเพียง การทำหน้าที่ของตับและการขับถ่ายบิลิรูบินจะดีขึ้น ทารกอาจถ่ายบ่อยได้ถึง 6 – 8 ครั้งต่อวันเป็นปกติโดยเฉพาะถ้ารับนมแม่ การที่ท้องผูกจะทำให้การขับถ่ายบิลิรูบินทางอุจจาระลดลง เมื่อดูดนมแล้วควรให้ทารกส่องไฟต่อไม่ควรนำออกจากไฟนานเกินจำเป็น 4. ระวังไม่ให้แถบปิดตาทารกหลุดขณะส่องไฟ ถ้าหลุดให้ปิดไฟหรืออุ้มทารกออกแจ้งให้พยาบาลทราบเพราะแสงไฟมีอันตรายต่อจอรับภาพของตา
การตากรับแสงแดดช่วยรักษาภาวะตัวเหลืองหรือไม่ อย่างไร ? ช่วยได้ในระดับหนึ่งในทารกที่ตัวเหลืองไม่มาก แต่ในทารกที่ตัวเหลืองปานกลางหรือมากไม่สามารถทดแทนการรักษาโดยการส่องไฟได้ เหตุผล คือ
1. ในแสงแดดมีปริมาณแสงที่มีความยาว คลื่นอยู่ในย่านสีน้ำเงินด้วยก็จริง แต่น้อยเพราะจะมีแสงที่มีความยาวคลื่นต่าง ๆ ประมาณ 7 ช่วง แสงรวมอยู่ด้วย ผิดกับการส่องไฟฉายแสงที่ใช้หลอดไฟเฉพาะพิเศษ ซึ่งจะมีแสงที่มีความยาวคลื่นเฉพาะช่วงสีน้ำเงินในปริมาณมากที่สุด 2. การตากรับแสงแดดมีช่วงเวลาที่เหมาะสมเฉพาะช่วงเช้าประมาณ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ไม่สามารถรับได้ทั้งวัน
|
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น